เบี้ยประกันภัย คือ อะไร สำคัญอย่างไร มารู้จักกับเบี้ยประกันภัย
เบี้ยประกันภัย คืออะไร มีความหมาย และมีความสำคัญอย่างไร สำหรับผู้ที่ทำประกันอาจมีคำถามว่าเบี้ยประกันภัยกับทุนประกันภัยแตกต่างกันอย่างไร และเบี้ยประกันภัยจะราคาถูก หรือแพงขึ้นอยู่กับอะไร เบี้ยประกันภัยสำคัญอย่างไรในการซื้อประกันรถยนต์ วันนี้ SILKSPAN พร้อมจะไขข้อข้องใจให้กับคุณ
เบี้ยประกันภัย คืออะไร มารู้จักเบี้ยประกันก่อนตัดสินใจทำประกันรถ
เบี้ยประกัน หรือ เบี้ยประกันภัย คือ เงินที่ผู้ทำประกันภัยต้องจ่ายให้กับบริษัทประกันเพื่อใช้ซื้อความคุ้มครองแก่สิ่งของ หรือสิ่งที่ต้องการซื้อความคุ้มครองให้ เบี้ยประกันภัยสามารถเลือกจ่ายได้ทั้งแบบรายปี และรายเดือนตามที่ตกลงกันในสัญญา หรือว่าสามารถทำความเข้าใจง่ายๆ ว่าหากมีการซื้อประกันภัยรถยนต์ไปจำนวน 20,000 บาทต่อปี เงิน 20,000 บาทนี้ก็คือ เงินประกัน หรือค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์นั่นเอง ซึ่งเงินจำนวน 20,000 บาทนี้ที่เป็นเบี้ยประกันก็จะต่างกับทุนประกัน ที่จะเป็นยอดที่ทางบริษัทประกันรถยนต์ให้ความคุ้มครองรถยนต์ของเรา โดยทุนประกันภัยรถยนต์ก็จะเริ่มตั้งแต่ 100,000-300,000 บาทขึ้นไปตามวงเงินประกันของรถยนต์แต่ละคัน
คลายข้อสงสัย เบี้ยประกันกับทุนประกัน เกี่ยวข้องกันไหม?
สำหรับผู้ที่เคยสมัครประกันภัย ไม่จะเป็นประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือแม้แต่ประกันรถยนต์เองก็อาจเคยมีข้อสงสัยกันอยู่ว่า “เบี้ยประกัน” และ “ทุนประกัน” มีความเหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร คำทั้งสองคำนี้ดูคล้ายกันจนเกิดความสับสนว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่ SILKSPAN มีคำตอบให้คุณ
เบี้ยประกันภัย คืออะไร
จำนวนเงินที่จ่ายให้กับบริษัทประกันภัย เพื่อซื้อความคุ้มครองตามแผนประกันภัยที่ต้องการ และได้ทำการเลือกไว้ โดยสามารถเลือกจ่ายเป็นรายปี หรือจ่ายเป็นรายเดือนเป็นงวดๆ ตามกำหนดของตามรายละเอียดในสัญญากรมธรรม์ โดยปกติหากทำการแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ ค่าประกัน หรือเบี้ยประกันภัยก็จะเป็นมีการแบ่งให้จ่ายในจำนวนที่เท่ากันๆ ทุกงวด
ทุนประกันภัย คืออะไร
และสำหรับทุนประกันภัย เป็นจำนวนเงิน หรือวงเงินที่ได้จากบริษัทประกันภัยในการคุ้มครองในกรณีต่างๆ สำหรับประกันรถยนต์ และจะได้รับเมื่อครบกำหนดสัญญา เมื่อครบกำหนด หรือเสียชีวิตก็จะได้รับเช่นกัน
เบี้ยประกันภัย และทุนประกันภัย แตกต่างกันอย่างไร
การทำประกันภัยรถยนต์ทุกครั้งก็จะต้องมีการจ่ายค่าประกัน ซึ่งนั่นก็คือ “เบี้ยประกันภัย” ที่จะต้องจ่ายไปเพื่อให้ความได้รับความคุ้มครองตามวงเงิน “ทุนประกันภัย” นั่นเอง การที่รถต้องการการคุ้มครองที่สูงขึ้น เพิ่มมากขึ้น ทุนประกันภัยก็จะสูงขึ้นตามความต้องการ และเงื่อนไขในการคุ้มครองด้วยเช่นกัน และเมื่อทุนประกันภัยเพิ่มสูงขึ้นเพื่อรองรับความคุ้มครองแล้ว เบี้ยประกันภัยก็จะสูงตามไปด้วยยอดความคุ้มครองที่ได้รับเช่นกัน
เบี้ยประกันจะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง
การซื้อประกันภัยรถยนต์ หลากหลายคนก็มักจะเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ที่มีความคุ้มครองในเงื่อนไขที่ครอบคลุมกับความต้องการที่แตกต่างกัน ยิ่งมีความต้องที่จะให้รถยนต์ได้รับความคุ้มครองที่มาก ทุนประกัน และเบี้ยประกันก็จะสูงขึ้นตามความต้องการด้วยเช่นกัน แต่นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อค่าเบี้ยประกันภัยที่สามารถทำให้ค่าเบี้ยเพิ่ม และลดลงไปได้เช่นกัน
ค่าเสียหายส่วนแรก
สำหรับคำว่าค่าเสียหายส่วนแรก หลายคนอาจกำลังสับสนระหว่างคำว่า “Deduct” กับ “Excess” ทั้งสองคำนี้มีความคล้าย และแตกต่างกันอยู่ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ล้วนมีผลต่อค่าเบี้ยประกัน และค่าเสียหายที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน
ค่าเสียหายส่วนแรก หรือ Deductible เป็นค่าเสียหายส่วนแรกที่สามารถใช้ระบุเป็นส่วนลดค่าเบี้ยประกันรถยนต์ได้ สามารถระบุได้ตั้งแต่ 1,000-5,000 บาท สามารถใช้เป็นส่วนลดค่าเบี้ยประกันได้ตามจำนวนที่ระบุ เหมาะสำหรับคนที่ขับรถดี ไม่ค่อยเกิดอุบัติเหตุ แต่จะต้องจ่ายทุกครั้งเมื่อเป็นฝ่ายผิด หรือ เคลมแบบไม่มีคู่กรณี
ส่วนคำว่า Excess หลายครั้งก็จะถูกเรียกด้วยคำว่า ค่าเสียหายส่วนแรก ด้วยเช่นกัน แต่ก็สามารถเรียกให้เข้าใจได้ง่ายว่า “ค่าเสียหายที่ต้องจ่ายร่วม” ค่า Excess ไม่ต้องระบุจำนวนลงไปในกรมธรรม์ จ่ายค่าส่วนแรก เมื่อเกิดการ “เคลมแบบไม่มีคู่กรณี” หรือ “ไม่สามารถระบุสาเหตุได้” เป็นค่าเสียหายที่จ่ายร่วมกับบริษัทประกัน จ่ายให้ประกัน 1,000 บาท/เหตุการณ์ และสูงสุดไม่เกิน 8,000 บาท/ครั้ง จ่ายตามบริษัทประกันเรียกเก็บ
อายุหรือประสบการณ์ของผู้ขับขี่
อายุ และประสบการณ์ของผู้ขับขี่ มีผลต่อการเลือก “ระบุผู้ขับขี่” ลงไปในกรมธรรม์ เป็นการระบุคนขับ เพื่อลดความเสี่ยงในการใช้งาน ยิ่งคนใช้น้อย ก็ยิ่งเกิดความเสี่ยงน้อยลง
เงื่อนไขในการระบุผู้ขับขี่เพื่อค่าเบี้ยประกันภัย คือ
1.สามารถระบุได้ไม่เกิน 2 คน และต้องมีใบขับขี่ทั้งคู่
2.สามารถระบุผู้ขับขี่ได้เฉพาะรถเก๋ง และกระบะ 4 ประตู
3.ได้รับส่วนลดตามช่วงอายุ โดยคิดส่วนลดจากคนที่อายุน้อยที่สุด
ช่วงอายุ |
ลดได้ |
18-24 |
5% |
25-35 |
10% |
36-50 |
15% |
51++ |
20% |
และถ้าหากคนอื่นเอารถของคุณไปขับ เกิดอุบัติเหตุ และฝ่ายคุณเป็นฝ่ายผิด หรือไม่มีคู่กรณี จะต้องเสียค่าปรับตามจริง ไม่เกิน 8,000 บาท แบ่งเป็น 6,000 บาท ค่าเสียหายรถตัวเอง และ 2,000 รถคู่กรณี และหากเกินจาก 8,000 บาทประกันจะเป็นฝ่ายออกให้
ประเภทของรถ
รถยนต์มีหลากหลายประเภท และหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่อค่าเบี้ยประกันด้วยเช่นกัน หากเป็นรถยนต์ที่มีราคาสูง เป็นรถนำเข้า หรือรถยนต์รุ่นพี่ที่ต้องสั่งประกอบ ก็ย่อมที่จะต้องการการคุ้มครองที่
ครอบคลุมในกรณีต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับรถยนต์ได้ ดังนั้นทุนประกันรถยนต์ก็จะมีจำนวนที่สูงขึ้น ซึ่งนั่นก็จะทำให้ค่าเบี้ยประกันรถยนต์สูงขึ้นตามด้วยเช่นกัน
ประวัติการขับขี่รถ
การขับขี่รถยนต์ในแต่ละปีก็จะถูกเก็บเป็นประวัติด้วยเช่น โดยเฉพาะประวัติเสีย หรือประวัติการเคลมที่จะถูกบันทึกเก็บไว้ทุกครั้งเมื่อมีเกิดการเคลมขึ้นกับรถยนต์คันดังกล่าว แต่สำหรับผู้ที่ขับรถดี ก็มีโอกาสได้รับส่วนลดประวัติดีได้ด้วยเช่นกันด้วยเงื่อนไขดังนี้
1.ทำประกันรถยนต์ต่อเนื่องกับบริษัทประกันเดิม
2.ปีที่แล้วไม่มีการแจ้งเคลมว่าเป็น “ฝ่ายผิด” หรือ “ไม่มีคู่กรณี”
3.ประกันรถยนต์ต้องขาดไม่เกิน 3 เดือน
%ที่ลด |
ปีที่ |
20% | ไม่มีเคลมในปีแรก |
30% |
ไม่มีเคลม 2 ปีติดกัน |
40% |
ไม่มีเคลม 3 ปีติดกัน |
50% |
ไม่มีเคลม 4 ปีติดกัน |
การต่อประกันก่อนล่วงหน้า
การต่อประกันก่อนล่วงหน้าก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สามารถทำให้ราคาประกันรถยนต์ถูก หรือลดลงได้เช่นกัน หากยิ่งมีการต่อประกันรถยนต์ล่วงหน้าได้นาน 30-120 วัน ก็จะยิ่งได้รับสิทธิส่วนลดเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ต่ออายุก่อนหมด (วัน) |
6,000 | 10,000 | 12,000 | 15,000 |
30 |
70 | 100 | 100 | 200 |
60 | 100 | 200 | 200 |
300 |
90 |
200 | 300 | 300 | 400 |
120 | 300 | 300 | 400 |
500 |
รวมคำถามที่พบบ่อย เบี้ยประกันภัย คืออะไร
SILKSPAN รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวข้องกับเบี้ยประกันภัยที่จะทำให้คุณเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น
ทำไมราคาเบี้ยประกันภัยแต่ละบริษัทไม่เท่ากัน?
การซื้อประกันภัยรถยนต์ หลายคนอาจเกิดคำถามขึ้นมาทำการเปรียบเทียบค่าเบี้ยประกันไปว่า ทำไมค่าเบี้ยประกันรถยนต์ของแต่ละบริษัทถึงมีจำนวนที่ไม่เท่ากัน การที่ค่าเบี้ยประกันไม่เท่ากันเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ
ความคุ้มครองที่แตกต่างกัน
ประกันภัยรถยนต์ของแต่ละบริษัทต่างก็มีรายละเอียดในความคุ้มครอง และทุนประกันภัยรถยนต์ที่แตกต่างกัน ด้วยเรื่องของรายละเอียดต่างๆ ในความคุ้มครอง รวมไปถึงบริษัทพิเศษที่มีให้เฉพาะของแต่ละบริษัทก็จะทำให้ค่าเบี้ยประกันมีราคาที่แตกต่างกัน
ซื้อกับที่ไหน
การเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์กับตัวบริษัทเองโดยตรง หรือผ่านบริษัทตัวแทน ก็มีผลเช่นกันกับราคาค่าเบี้ยประกันรถยนต์ บริษัทตัวแทนที่ถูกก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ดี และบริษัทที่แพงเองก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป
อายุ / เพศ / สถานะสมรส
สิ่งเหล่านี้ก็มีผลต่อการขับขี่ อายุน้อยก็อาจมีประสบการณ์ในการขับขี่ที่น้อยกว่า มีความใจร้อนมากกว่า เหมือนกับคนที่สถานะสมรสแล้ว ไม่ได้เป็นคนโสดก็อาจมีความระมัดระวังในการขับขี่มากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้ค่าเบี้ยประกันภัยถูก หรือแพงขึ้นได้เช่นกัน
อายุการใช้งานของรถยนต์ที่ทำประกัน
อายุของตัวรถยนต์มีผลต่อการต่อประกันภัยรถยนต์อย่างแน่นอน สำหรับรถยนต์ที่มีอายุ 1-7 สามารถทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าเกิน 7 ปีแล้วก็อาจจะต้องย้ายไปทำประกันภัยรถยนต์ในชั้นอื่นๆ ซึ่งทุนประกันรถยนต์จะลดลง และมีค่าเบี้ยประกันภัยที่ถูกลงด้วยเช่นกัน
เบี้ยประกันต้องจ่ายตอนไหน?
ค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์จะสามารถเลือกจ่ายเป็นเงินก้อนเมื่อทำการต่อ หรือทำประกันรถยนต์ได้ในทันที หรือก็สามารถเลือกผ่อนเป็นรายเดือนเพื่อลดค่าใช้จ่ายได้เช่นกัน สำหรับ SILKSPAN สำหรับเลือกชำระแบบรายเดือน จ่ายรายเดือนสบายๆ โดยไม่ต้องมีบัตรเครดิตก็ได้เช่น และไม่ว่าจะเลือกจ่ายเป็นเงินก้อน หรือผ่อนแบบรายเดือนก็จะได้รับความคุ้มครองตั้งแต่วันแรกที่อนุมัติประกัน
สรุปเบี้ยประกันภัย คืออะไร
สรุปแล้วเบี้ยประกันภัย คือ ค่าประกันภัยรถยนต์ที่คุณต้องจ่าย อาจเป็นเงินก้อนรายปี หรือรายเดือนตามที่ตกลงไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งค่าเบี้ยประกันภัยจะสูง หรือต่ำก็จะต้องขึ้นอยู่กับทุนประกันภัยของรถแต่ละคัน ที่ต้องประเมินจากการใช้งาน สภาพรถ รุ่น รถ ปีที่ผลิตเป็นต้น รวมไปถึงความต้องการในการคลุมครองรถยนต์คันดังกล่าวว่ามีมากน้อยเพียงใด ก็จะทำให้ทุนประกันภัยสูงขึ้น และเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นตามด้วยนั่นเอง