ตรวจสภาพรถมีขั้นตอนอะไรบ้าง ค่าใช้จ่ายแพงหรือไม่ ?
หรือไม่ ? ในทุก ๆ ปีจะต้องมีการต่อภาษีประจำปีของรถยนต์ รถที่ผ่านการใช้งานมาพอสมควรแล้ว จำเป็นต้องนำไปตรวจสภาพรถเสียก่อน ถึงจะต่อภาษีรถยนต์ได้สำเร็จ หากคุณยังไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ บทความนี้ SILKSPAN จะพาไปรู้จักกับการตรวจสภาพรถเพื่อต่อภาษีให้มากขึ้น ว่าจะต้องตรวจอะไรบ้าง และ มีค่าตรวจสภาพรถราคาเท่าไหร่ หากคุณพร้อมแล้ว เชิญรับชมเนื้อหาดี ๆ ที่เรานำมาฝากกันได้เลย !
การตรวจสภาพรถประจำปี มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร ?
ตามที่เราเกริ่นไปข้างต้น การตรวจสภาพรถจะถูกนำมาใช้ สำหรับรถที่ผ่านการใช้งานมาแล้วสักระยะหนึ่ง ซึ่งการที่กำหนดให้ตรวจสภาพรถ ก่อนที่จะต่อภาษีรถยนต์ได้ เกิดจากความปรารถนาดีของกรมการขนส่งทางบก ที่ต้องการตรวจสอบให้มั่นใจ ว่ารถที่นำมาใช้บนท้องถนนมีความพร้อมที่จะใช้ขับขี่ เพื่อความปลอดภัยของเพื่อนร่วมทาง เพราะหนึ่งในต้นตอของอุบัติเหตุบนท้องถนน เกิดจากสภาพรถที่ไม่พร้อมที่จะนำมาขับขี่ เช่น ยางระเบิด หรือ ระบบเบรกมีปัญหา เป็นต้น
รถที่ต้องเข้าตรวจสภาพรถก่อนยื่นภาษี จะต้องอยู่ในเงื่อนไขอะไรบ้าง ?
ก่อนจะไปรู้ถึงค่าตรวจสภาพรถยนต์ในหัวข้อถัดไป มารู้กันก่อนว่ารถของคุณ อยู่ในเงื่อนไขที่จะต้องนำรถเข้ารับการตรวจสภาพรถแล้วหรือยัง ซึ่งตามความจริงแล้วรถยนต์ทุกคันจะต้องเข้ารับการตรวจสภาพ ขึ้นอยู่กับอายุการใช้งานว่าจะต้องนำไปตรวจสภาพเมื่อใดเพียงเท่านั้น โดยสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนนำรถเข้ามาตรวจสภาพก็จะมีดังนี้
- จะต้องเป็นรถที่มีอายุการใช้งานเกินกว่า 7 ปี จากการจดทะเบียนครั้งแรก
- ถ้าเป็นรถที่ผ่านการดัดแปลงสภาพรถ ไม่สามารถตรวจสภาพรถที่ ตรอ. ได้ จะต้องไปตรวจที่ขนส่งเท่านั้น
- หากตรวจไม่ผ่านในครั้งแรก มีระยะเวลาแก้ไขให้ผ่านภายใน 15 วัน ค่อยนำรถเข้ามารับการตรวจอีกครั้ง
- สามารถตรวจสภาพรถก่อนยื่นเรื่องต่อภาษีได้ล่วงหน้าไม่เกิน 90 วัน
ต้องนำรถไปตรวจสภาพรถที่ไหน ?
การตรวจสภาพรถเพื่อต่อภาษี จะต้องทำกับสถานที่ซึ่งกรมการขนส่งทางบกกำหนดเอาไว้เท่านั้น มีให้เลือก 2 ช่องทางคือ “ตรอ.” เป็นสถานีตรวจสภาพรถของเอกชน มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ สามารถใช้งานได้ในทุกสาขาที่สะดวกที่สุด หรือ “กรมการขนส่งทางบก” ทุกสาขา ซึ่งอาจไม่ได้สะดวกเท่าตัวเลือกแรก แต่ก็เหมาะสำหรับรถที่มีเงื่อนไขพิเศษ เช่น ผ่านการดัดแปลงสภาพรถมาแล้วบางส่วน , รถเคยถูกยกเลิกทะเบียนจากการขาดต่อภาษี รวมถึง รถที่ไม่ได้ใช้เพื่อเป็นรถส่วนบุคคล เช่น รถแท็กซี่ รถตู้โดยสาร เป็นต้น
ค่าตรวจสภาพรถยนต์ส่วนบุคคลราคาอยู่ที่เท่าไหร่ ?
หากเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล ถ้านำมาตรวจสภาพรถที่ ตรอ. ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 160 บาทต่อคันเพียงเท่านั้น แต่สำหรับรถที่มีน้ำหนักมากกว่า 1,600 กิโลกรัม ราคาจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 250 บาทต่อคัน ขอบอกเลยว่าค่าตรวจสภาพรถยนต์ของ ตรอ. ก็ไม่ได้แตกต่างจากการนำเข้าไปตรวจที่กรมการขนส่งทางบก แถมยังสะดวกมากกว่าอีกด้วย ใช้ระยะอย่างช้าประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมงเท่า กลับกันหากนำไปตรวจที่กรมการขนส่งทางบก คุณจะต้องรอคอยอย่างยาวนาน ดังนั้นถ้าต้องการตรวจสภาพรถ เราแนะนำเลยว่าตรวจกับ ตรอ. ดีกว่าแน่นอน
ขั้นตอนการตรวจสภาพรถกับ ตรอ. ตรวจอะไรบ้าง ไปดูกัน !
การตรวจสภาพรถกับ ตรอ. มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด เพียงคุณนำรถพร้อมกับเอกสารสำคัญของตัวรถ เดินทางไปที่ ตรอ. ที่คุณสะดวกมากที่สุด ที่เหลือก็แค่นั่งรอเท่านั้น ในส่วนของกระบวนการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบความเรียบร้อยของตัวรถในจุดต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- ระบบไฟส่องสว่างและสัญญาณไฟทั่วคัน ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้า , ไฟท้าย , ไฟเบรก , ไฟฉุกเฉิน รวมถึงตรวจสอบแตรรถว่าทำงานได้ปกติหรือไม่
- ระบบช่วงล่างและเบรก เช็คว่าทุกส่วนยังทำงานได้ดี ผ้าเบรกเพียงพอไหม แรงดันเบรกอยู่ในค่ามาตรฐานหรือไม่ และ การทำงานของช่วงล่างเป็นอย่างไร ไม่หลวม ไม่เสียหาย ใช่หรือไม่ เป็นต้น
- ล้อและยาง ยางต้องอยู่ในสภาพดี มีดอกยางที่เพียงพอ ไม่มีร่องรอยของการรั่วซึม ส่วนล้อต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด รวมถึงลำสำรองในตัวรถก็ต้องมีการตรวจสอบ
- ตรวจท่อไอเสีย มลพิษจะต้องไม่เกินค่ามาตรฐาน ควันจะต้องไม่ดำเกินค่ามาตรฐาน ไม่มีการดัดแปลง และ ความดังของท่อจะต้องไม่เกิน 100 เดซิเบล
- ความเรียบร้อยของตัวถัง เป็นการตรวจสอบตัวถังภายนอกว่าสมบูรณ์หรือไม่ ส่วนมากจะเป็นการตรวจสอบด้วยตาเปล่า ชิ้นส่วนต้องไม่เป็นสนิม , กระจกต้องสมบูรณ์ และ ไม่มีความเสียหายขนาดใหญ่
- ตรวจสอบของเหลวในตัวรถ ของเหลวต่าง ๆ อย่าง น้ำมันเครื่อง , น้ำมันเบรก , น้ำยาหล่อเย็น , น้ำมันเกียร์ หรือ จาระบีในจุดต่าง ๆ ทุกอย่างจะต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และ จะต้องไม่มีการรั่วซึม
- ความถูกต้องของข้อมูลรถ เป็นการเช็ครายละเอียดให้ตรงตามเอกสาร ซึ่งจะต้องนำเอาเล่มรถมาใช้ประกอบการตรวจ เพื่อเช็คความถูกต้องของ เลขตัวถัง , รุ่นของรถ , สีของรถ หรือ ป้ายทะเบียน เป็นต้น
บทส่งท้าย
เห็นไหมล่ะ ? การตรวจสภาพรถไม่ได้มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ไม่ได้ใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน ที่สำคัญคือราคาไม่ได้แพงแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นถ้าใกล้ถึงช่วงที่จะต้องต่อภาษีรถยนต์ อย่าลืมนำรถเข้าไปรับการตรวจสภาพในทุก ๆ ปี ถ้ายังไม่รู้ว่าจะตรวจที่ไหน เพียงค้นหาใน Google ว่า “ตรวจสภาพรถใกล้ฉัน” เท่านี้คุณรับรู้ได้แล้วว่า ตรอ. ที่อยู่ใกล้เคียงคุณมากที่สุดอยู่ที่ไหน