
รถยนต์ไฟฟ้า ทำประกันรถยนต์ชั้นไหนได้บ้าง ? ความคุ้มครองครอบคลุมแค่ไหน

ประกันรถยนต์คือสิ่งที่ควรต้องทำไม่ว่าคุณจะขับรถยนต์ประเภทใด ซึ่งในทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าเป็นช่วงเวลาที่ “รถยนต์ไฟฟ้า” กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นพลังงานทางเลือก ที่จะเข้ามาทดแทนรถยนต์แบบสันดาปที่เราคุ้นเคยกัน เพราะปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ที่โลกกำลังเผชิญ ทั้ง ฝุ่นควัน โลกร้อน และ วิกฤติพลังงาน แต่ด้วยความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของ รถยนต์ไฟฟ้า และ รถยนต์สันดาป อาจทำให้ผู้ที่กำลังสนใจรถยนต์ไฟฟ้า อยากรู้ว่า ควรจะเลือกประกันภัยรถยนต์แบบไหนดี ? บทความนี้เรามีคำตอบมาฝาก
รถ EV ทำประกันรถยนต์ทำประกันภัยรถยนต์ได้ไหม ?
การจะเลือกซื้อประกันรถยนต์ ให้กับรถยนต์ไฟฟ้า หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า รถ EV ค่อนข้างมีรายละเอียดที่แตกต่างจากรถยนต์ทั่วไปอยู่พอสมควร เนื่องจากยังใหม่สำหรับสังคมเมืองไทย และ มีการพัฒนาที่รวดเร็วเป็นอย่างมาก ทำให้มูลค่าของตัวรถ และ อะไหล่สำหรับการซ่อมแซม ยังไม่เสถียรเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้าก็ยังคงทำประกันภัยรถยนต์ได้เหมือนกับรถทั่วไป แต่ในส่วนของความคุ้มครองอาจจะมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แตกต่างกัน ผู้ทำประกันควรศึกษาให้มั่นใจก่อนตัดสินใจลงไป
5 ความคุ้มครองที่ควรมี สำหรับผู้ที่อยากทำประกันให้รถยนต์ไฟฟ้า
ด้วยหัวข้อหลักที่เราเกริ่นเอาไว้ว่า รถยนต์ไฟฟ้าทำประกันชั้นรถยนต์ชั้นอะไรดี ? การที่เราจะมาบอกว่า “ชั้นนี้ดีที่สุด” อาจจะไม่ได้เป็นคำตอบที่ถูกเสมอไป เนื่องจากความต้องการของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน รวมถึงกำลังทรัพย์ที่จะจ่ายเบี้ยประกันของแต่ละคนก็ต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นเรามาใส่ใจในส่วนของ “ความคุ้มครอง” เป็นหลักกันดีกว่า มาดูกันว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ควรจะต้องมีความคุ้มครองแบบไหนบ้าง และประกันชั้นไหนให้ความคุ้มครองนั้น ๆ บ้าง
1. รถถูกโจรกรรม
เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าในตอนนี้กำลังมาแรงในบ้านเรา แถมอะไหล่ของตัวรถก็ยังมีราคาที่ค่อนข้างสูง นั่นจึงทำให้รถยนต์ไฟฟ้า กลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเหล่าขโมยขโจร หากจอดเอาไว้ในสถานที่เสี่ยงไม่ได้ระมัดระวัง อาจถูกโจรกรรมได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้นควรจะเลือกทำประกันรถยนต์ ที่มีความคุ้มครองกรณี “รถถูกโจรกรรม” ซึ่งก็จะเป็นประกันในชั้น 1 , 2 และ 2+
2. รถถูกเพลิงไหม้
รถยนต์ไฟฟ้าจำเป็นจะต้องทำการชาร์จแบตเตอรี่ เพื่อให้มีพลังงานในการขับเคลื่อนตัวรถ ถึงจะมีความเสี่ยงไม่มากนัก หากเลือกใช้อุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ที่ได้มาตรฐาน และจัดเตรียมความพร้อมของสถานที่ชาร์จไว้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างไรโอกาสที่จะเกิดเพลิงไหม้ก็มีอยู่เช่นกัน จากไฟฟ้าที่ลัดวงจรขณะชาร์จแบตเตอรี่ ดังนั้นควรมีความคุ้มครองเมื่อเกิดเหตุ “เพลิงไหม้” ซึ่งมีอยู่ในประกันชั้น 1 , 2 และ 2+

3. รถเสียหายจากน้ำท่วม
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยว่า รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ กันนั้นได้เป็นอย่างดี การขับขี่ลุยน้ำโดยทั่วไปไม่ได้ทำให้รถพังได้ง่าย ๆ อย่างที่หลายคนคิด แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมสูง ในเคสนี้ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าหรือรถสันดาป ก็มีความเสี่ยงที่จะไม่รอดเหมือน ๆ กัน ดังนั้นถ้าอยู่ในพื้นที่เสี่ยง การทำประกันรถยนต์ที่มีความคุ้มครอง “ภัยธรรมชาติ” ที่จะพบในประกันชั้น 1 หรือ ประกันชั้น 2 และ ประกันชั้น 2+ ในบางบริษัท จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
4. ศูนย์ซ่อมในเครือ
อาจจะไม่ใช่ความคุ้มครองโดยตรง ของเงื่อนไขประกันภัยรถยนต์ แต่เรื่องของ “ศูนย์บริการ” ก็เป็นสิ่งที่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าควรใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะต้องยอมรับว่ารถไฟฟ้าในบ้านเรายังเป็นอะไรที่ใหม่ ไม่ใช่ทุกอู่ที่จะสามารถซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อเกิดความเสียหายได้ การจะไปเสี่ยงดวงกับอู่ที่ไม่ชำนาญก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็น เพราะฉะนั้นในช่วงที่อะไรยังใหม่เช่นนี้ ควรเลือกที่จะ “ซ่อมห้าง” นำรถเข้าศูนย์บริการของรถยนต์ยี่ห้อนั้น ๆ ไปเลยอุ่นใจที่สุด
5. ความคุ้มครองพิเศษ
ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นแทบจะทุกวัน บริษัทประกันภัยรถยนต์เองก็จำเป็นจะต้องปรับตัว ให้เท่าทันต่อสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น นั่นจึงทำให้เกิด “ประกันรถยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งจะมีเงื่อนไขความคุ้มครองที่คล้ายกับการทำประกันรถยนต์แบบเดิม แต่จะมีความคุ้มครองพิเศษบางอย่างที่เพิ่มเข้าไป เพื่อให้ครอบคลุมต่อความต้องการของรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ เช่น ความคุ้มครองแบตเตอรี่รถยนต์ เนื่องจากเป็นอะไหล่ชิ้นสำคัญ มีมูลค่าสูงเกือบครึ่งหนึ่งของราคารถเลยก็ว่าได้
ทำประกันรถยนต์ไฟฟ้า แพงกว่ารถสันดาปจริงไหม ? มีตัวช่วยลดเบี้ยหรือไม่
จากเนื้อหาทั้งหมดที่เรากล่าวไป พอจะทำให้ผู้อ่านเดาคำตอบได้แล้วว่า เบี้ยประกันของรถยนต์ไฟฟ้า “แพงกว่า” รถยนต์สันดาปโดยทั่วไป หากเทียบมูลค่าของตัวรถที่พอ ๆ กัน เพราะอะไหล่ยังหายาก ยังไม่มีอู่ที่ให้บริการมากนัก และยังมีอีกหลาย ๆ ปัจจัย ที่ทำให้เบี้ยประกันแพงกว่ารถยนต์สันดาปอยู่พอสมควร แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของปัจจัยที่บริษัทประกันภัยรถยนต์ นำมาใช้คิดเบี้ยประกัน เพราะยังมีปัจจัยส่วนอื่นนอกจากตัวรถอีกหลายอย่าง ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดของเบี้ยประกันได้ ยกตัวอย่างเช่น
- ประวัติการขับขี่ของเจ้าของรถ ถ้าขับดี ไม่เคยเคลม ก็มีโอกาสได้ส่วนลดสูงถึง 50%
- ระบุค่าเสียหายส่วนแรก มีโอกาสได้รับส่วนลดเบี้ยประกันได้ 10% เป็นอย่างน้อย
- ระบุชื่อของผู้ขับขี่ลงไปในสัญญาประกันภัยรถยนต์ ได้รับส่วนลดเริ่มต้นที่ 5% ถึง 20%
- ติดกล้องบันทึกภาพระหว่างการขับขี่ ช่วยลดเบี้ยประกันได้ที่ 5% ถึง 10%
บทส่งท้าย
จากเนื้อหาที่เรานำเสนอไปในบทความนี้ อาจทำให้ผู้ที่อยากได้รถยนต์ไฟฟ้า รู้สึกว่าการทำประกันรถยนต์ ค่อนข้างเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะต้องหาข้อมูลเงื่อนไขต่าง ๆ มากมาย และยังต้องมาเครียดในเรื่องของเบี้ยประกันที่แพงขึ้นอีกด้วย สิ่งที่คุณกำลังคิดจะไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอีกต่อไป หากคุณเลือกใช้บริการของ SILKSPAN
เพราะเราคือผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์แบบไหน เราก็พร้อมมอบข้อเสนอที่ดีที่สุด ซึ่งเรามีบริษัทประกันภัยรถยนต์ชั้นนำในประเทศไทยกว่า 30 แห่ง เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ พร้อมมอบส่วนลดสุดพิเศษอีกมากกว่า 30% จากเบี้ยประกันที่ต้องจ่าย ยังไม่รวมกับบริการเสริมอื่น ๆ อีกมากมาย หากสนใจอยากใช้บริการของเรา เพียงกรอกข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้านล่างของบทความนี้เพียงเท่านั้น