
ทำประกันรถ แบบบุคคลธรรมดา vs แบบนิติบุคคล ต่างกันอย่างไร ?

สำหรับการทำประกันรถ นั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยให้เจ้าของรถได้รับความคุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดเหตุไม่คาดฝัน โดยการทำประกันรถ ในปัจจุบันนี้ นั้นมีให้เจ้าของรถนั้นได้เลือกการทำกรมธรรม์ประกันรถอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกรมธรรม์สำหรับบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล
แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าของรถ หลาย ๆ ท่าน อาจจะมีข้อสงสัยว่าการทำประกันรถยนต์ ทั้งสองประเภท นั้นมีข้อแตกต่างกันอย่างไร และแบบไหนจึงจะเหมาะสมกับตนเองหรือธุรกิจของตนมากที่สุด ในนี้เราจะพาท่านมาทำความเข้าใจ และทราบถึงข้อแตกต่างระหว่างการทำประกันรถยนต์ของบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลโดยละเอียด เพื่อเป็นเกร็ดความรู้ในการช่วยให้ท่านเลือกกรมธรรม์ หรือทำประกันรถยนต์ ต่อ ๆ ไป ในอนาคต
ความหมายของการ ทำประกันรถ แบบ “บุคคลธรรมดา” และ “นิติบุคคล”
ทำประกันภัยรถ ในรูปแบบของบุคคลธรรมดา หมายถึงบุคคลทั่วไปที่มีสถานะเป็นเจ้าของรถหรือพาหนะ ต่าง ๆ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ผู้เป็นเจ้าของรถสามารถทำกรมธรรม์ประกันภัยในนามของตนเอง เพื่อที่จะคุ้มครองกรณีเกิดอุบัติเหตุ ได้รับความเสียหายต่อทรัพย์สิน หรือบุคคลที่สาม
การทำประกันรถยนต์ ในรูปแบบของนิติบุคคล นั้นหมายถึงการทำประกันภัยการใช้งานรถให้กับ องค์กร หรือ หน่วยงาน ที่มีสถานะทางกฎหมายเป็นเจ้าของรถยนต์ เช่น บริษัท ห้างร้าน ห้างหุ้นส่วน หรือ องค์กรธุรกิจ ต่าง ๆ ซึ่งส่วนมากการทำประกันรถมักจะนิยมทำในนามของบริษัท เพื่อที่จะคุ้มครองการใช้งานในเชิงพาณิชย์เป็นหลัก
ความแตกต่างระหว่างประกันรถของ บุคคลธรรมด าและ นิติบุคคล
1.ชื่อผู้เอาประกันและกรรมสิทธิ์ของรถ
โดยปกติแล้วนั้น เราสามารถสังเกตความแตกต่างระหว่างประกันรถของ บุคคลธรรมดา และนิติบุคคลได้ง่าย ๆ ซึ่งเราสามารถสังเกตได้จากชื่อของผู้เอาประกัน และชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ของรถ โดยทั่วไปประกันรถของบุคคลธรรมดามักจะเป็นชื่อข้อเจ้าของรถ หรือผู้ถือกรรมสิทธิ์รถ ยกตัวอย่างเช่น นายดำ หรือ นางสาวแดง แต่หากเป็นการทำประกันรถยนต์ในรูปแบบของนิติบุคคลแล้วนั้น ชื่อผู้เอาประกันหรือชื่อในกรมธรรม์นั้นจะเป็นชื่อขององค์กร หน่วยงาน ห้างร้าน ต่าง ๆ ที่จดทะเบียนเป็นผู้ซื้อรถหรือผู้ถือกรรมสิทธิ์ครอบครองรถ เช่น บริษัท รุ่งเรือง จำกัด หรือ ห้างหุ้นส่วน เจริญพาณิชย์
2.วัตถุประสงค์ในการใช้รถ
อีกหนึ่งการสังเกตง่าย ๆ เพื่อเปรียบเทียบการทำประกันรถที่ชัดเจนว่า เป็นการทำประกันรถยนต์ในรูปแบบ บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล นั่นก็คือวัตถุประสงค์ในการใช้งานรถ โดยปกติแล้วการทำประกันรถยนต์ในรูปแบบของบุคคลธรรมดา จะครอบคลุมการประกันการใช้งานของบุคคลทั่วไป เช่น การสัญจร การเดินทางท่องเที่ยว และการใช้งานโดยทั่วไปเป็นหลัก แต่หากเป็นการทำประกันในรูปแบบของนิติบุคคลแล้วนั้น ประกันรถยนต์ ในรูปแบบของนิติบุคคลจะเน้นการคุ้มครองการใช้งานรถยนต์ในเชิงพาณิชย์ หรือในทางธุรกิจเป็นหลัก
3.ประเภทของประกันที่เหมาะสม
สำหรับการทำประกันรถของบุคคลธรรมดานั้น การทำประกันในรูปแบบนี้ ผู้ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยจะมีตัวเลือกของประกันที่หลากหลายกว่าประเภทนิติบุคคล โดยประกันภัยประเภทนี้จะมีตัวเลือกของกรมธรรม์ประกันที่หลากหลาย และยังกรมธรรม์ออกเป็นประเภทต่าง ๆ เช่น ประกันชั้น 1, ประกันชั้น 2+, ประกันชั้น 3+ หรือ ประกันชั้น 3 ซึ่งกรมธรรม์ประกันเหล่านี้ นั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของตัวเจ้าของรถ โดยเจ้าของรถมักจะเลือกประกันที่ครอบคลุมกับค่าใช้จ่ายและการใช้งานในชีวิตมากที่สุด ซึ่งจะแตกต่างกับประเภทนิติบุคคลในด้านของตัวเลือก โดยส่วนใหญ่แล้วการทำประกันรถประเภทนิติบุคคลนั้น ผู้ทำประกันภัยมักจะเลือกประกันประเภท ชั้น 1 หรือ 2+ เป็นหลัก เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมกับการใช้งานในเชิงพาณิชย์
4.ค่าเบี้ยประกัน
ประกันรถยนต์ประเภทบุคคลธรรมดานั้นจะมีอัตราค่าเบี้ยประกันที่ถูกกว่า เพราะการใช้งานรถของบุคคลธรรมดานั้นมีความเสี่ยงต่อการประสบอุบัติเหตุที่ต่ำกว่าการใช้งานในเชิงพาณิชย์ หรือประเภทนิติบุคคล ซึ่งทำให้ประกันรถยนต์ประเภทนิติบุคคลนั้นจะมีอัตราค่าเบี้ยประกันที่สูงกว่า เนื่องจากรถยนต์ถูกใช้เพื่อการพาณิชย์และมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่า
5.การคำนวณค่าเสื่อมราคา
การคำนวณค่าเสื่อมราคาของประกันรถยนต์ในรูปแบบบุคคลธรรมดานั้น รถจะถูกคิดค่าเสื่อมราคาตามการใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้ใช้งาน แต่สำหรับการทำประกันรถแบบนิติบุคคลของบริษัทสามารถนำค่าเสื่อมราคา ไปใช้ในการคำนวณภาษีธุรกิจและรถหย่อนภาษีได้
6.สิทธิประโยชน์ทางภาษี
ค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ของ ประกันภัยรถยนต์ แบบ บุคคลธรรมดาจะไม่สามารถที่จะนำไปลดหย่อนภาษีได้ แต่การทำประกันรถ แบบนิติบุคคล ค่าเบี้ยประกันภัยถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทจะสามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในเชิงพาณิชย์ของบริษัทเพื่อลดหย่อนภาษีได้

ความคุ้มครองที่ได้รับจาก ทำประกันรถ
การคุ้มครองการทำประกันรถยนต์ หรือทำประกันรถของ บุคคลธรรมดา นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละประเภทของกรมธรรม์ ยกตัวอย่างเช่น
- ค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
- ค่าซ่อมแซมรถยนต์ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
- ค่าชดเชยกรณีสูญเสียรถยนต์จากอุบัติเหตุหรือการโจรกรรม
แต่ประกันภัยสำหรับ นิติบุคคล มักให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมต่อการใช้งานที่มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น
- ความคุ้มครองสำหรับพนักงานหรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ใช้รถ
- ค่าชดเชยในกรณีที่รถถูกขโมยหรือเกิดความเสียหายจากการใช้งานในเชิงธุรกิจ
- การคุ้มครองทางกฎหมายสำหรับบริษัทในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
ข้อดีและข้อเสียของการทำประกันรถ หรือการทำประกันรถยนต์
รูปแบบบุคคลธรรมดา
ประกันภัยในรูปแบบของบุคคลธรรมดา มีข้อดีดังต่อไปนี้
- ค่าเบี้ยประกันกรมธรรม์ถูกกว่า
- เงื่อนไขกรมธรรม์ไม่ยุ่งยากและสลับซับซ้อน
- สามารถเลือกกรมธรรม์ได้ตามงบประมาณที่ต้องการ
ข้อเสียของประกันภัยรถยนต์ในรูปแบบของบุคคลธรรมดา
- ไม่สามารถนำค่าเบี้ยประกันกรมธรรม์ไปลดหย่อนภาษีได้
- คุ้มครองเฉพาะในกรณีใช้งานส่วนตัว ไม่ครอบคลุมการใช้งานในเชิงพาณิชย์ หรือในเชิงธุรกิจ
รูปแบบนิติบุคคล
ประโยชน์และข้อดีของประกันภัยนรูปแบบนิติบุคคล
- สามารถใช้ค่าเบี้ยกรมธรรม์ประกันเป็นค่าใช้จ่ายในเชิงธุรกิจได้ และการลดหย่อนภาษีได้
- คุ้มครองการใช้งานในรูปแบบเชิงพาณิชย์ได้อย่างครอบคลุมมากกว่า
ข้อเสียของประกันรถในรูปแบบนิติบุคคล
- ค่าเบี้ยกรมธรรม์ประกันมีราคาที่สูงกว่าแบบบุคคลธรรมดามาก
- มีเงื่อนไขกรมธรรม์ที่ซับซ้อนกว่า
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือก ทำประกันรถ
- หากใช้รถเพื่อธุรกิจ การเลือกทำประกันในนามนิติบุคคลนั้นอาจช่วยให้เจ้าของรถได้รับประโยชน์จากการทำประกันรถยนต์ที่มากกว่า
- เจ้าของรถควรจะเปรียบเทียบค่าเบี้ยกรมธรรม์ประกัน และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์อย่างละเอียดในทุก ๆ ครั้ง
- ผู้สมัครกรมธรรม์ประกันรถยนต์ ควรตรวจสอบรายละเอียดกรมธรรม์ให้แน่ใจว่าตอบโจทย์ในการใช้งาน และมีความถูกต้องเหมาะสมกับแนวทางในการใช้งาน
- การคำนวณเบี้ยประกันและเลือกประกันที่เหมาะสมต่อการใช้งานรถเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งสิ่งนี้สามารถช่วยให้ท่านสามารถได้รับค่าเบี้ยกรมธรรม์ประกันที่เหมาะสม และยังสามารถนำค่าใช้จ่ายเหล่านี้ใช้ลดหย่อนภาษีได้
บทสรุป
การเลือกทำประกันรถ ในนามบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้รถ ค่าใช้จ่าย และสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากท่านนั้นเป็นบุคคลธรรมดา การเลือกทำประกันรถที่ตอบโจทย์การใช้งาน และ งบประมาณของท่านนั้นเป็นสิ่งสำคัญ
ส่วนผู้ที่เป็นนิติบุคคลควรพิจารณาถึงความคุ้มครองที่ครอบคลุม และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางภาษีได้ เลือกประกันที่เหมาะสมต่อการ สิ่งนี้จะช่วยให้ท่านได้รับความคุ้มครองได้อย่างดีที่สุด และบริหารความเสี่ยงในการใช้งานประกันในรูปแบบ ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ