
หากเกิดอุบัติเหตุรถชน ประกันภัยรถยนต์ช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายอะไรให้คุณบ้าง

ประเภทของประกันภัยอุบัติเหตุรถยนต์
ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถชน การประกันภัยรถยนต์ช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับประเภทของประกันที่ผู้เอาประกันเลือกทำไว้ โดยประกันภัยรถยนต์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และ ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ซึ่งประกันภาคสมัครใจนี้มีหลายประเภทที่ให้ความคุ้มครองแตกต่างกันไป ดังนี้
- ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เป็นประกันที่มีความคุ้มครองสูงสุด โดยครอบคลุมทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของผู้เอาประกันเอง, ความเสียหายจากอุบัติเหตุ, ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ, การถูกโจรกรรม, รวมถึงค่าใช้จ่ายในการลากจูงรถ นอกจากนี้ยังคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุอีกด้วย
- ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ ประกันประเภทนี้มีความคุ้มครองที่ใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 แต่จะมีข้อจำกัดในบางกรณี เช่น การคุ้มครองจะครอบคลุมเฉพาะรถของผู้เอาประกันและคู่กรณีในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเท่านั้น ส่วนความคุ้มครองอื่น ๆ เช่น ภัยธรรมชาติหรือการโจรกรรมอาจไม่ครอบคลุม
- ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2 ประกันนี้จะคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของผู้เอาประกัน เช่น การชน, การสูญหาย, หรือไฟไหม้ แต่ไม่คุ้มครองในส่วนของการบาดเจ็บหรือความเสียหายของบุคคลที่เกี่ยวข้องในอุบัติเหตุ ยกเว้นคู่กรณี
- ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+ ประกันภัยประเภทนี้จะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุระหว่างรถกับรถเท่านั้น ไม่มีการคุ้มครองในกรณีที่เกิดไฟไหม้, น้ำท่วม หรือการโจรกรรม เหมาะสำหรับผู้ที่มีรถเก่าหรือไม่ค่อยใช้รถบ่อย
- ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 เป็นประกันที่มีความคุ้มครองน้อยที่สุด โดยครอบคลุมเฉพาะความเสียหายของคู่กรณีในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเท่านั้น ซึ่งจะไม่ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของผู้เอาประกันเอง หากผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิด
ความคุ้มครองที่ผู้เอาประกันจะได้รับมีอะไรบ้าง?
เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน ประกันภัยรถยนต์สามารถช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุได้ในหลายกรณี ขึ้นอยู่กับประเภทของประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยเลือก ซึ่งความคุ้มครองหลัก ๆ จะครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นและทรัพย์สิน รวมถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับยานพาหนะของผู้เอาประกันภัยเอง ดังนี้
1. ความรับผิดชอบต่อการบาดเจ็บ หรือ ความรับผิดชอบต่อบุคคลอื่น
ประกันภัยจะช่วยชดเชยค่ารักษาพยาบาลสำหรับบุคคลอื่นที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น โดยผู้เอาประกันภัยอาจต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุและทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ เช่น การชนกับจักรยานยนต์หรือผู้ขับขี่คนอื่น ๆ
2. ความรับผิดชอบต่อทรัพย์สินของบุคคลอื่น ความรับผิดชอบต่อการบาดเจ็บ หรือ ความรับผิดชอบต่อบุคคลอื่น
คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลอื่น เช่น รถยนต์คันอื่น อาคาร หรือสิ่งกีดขวางที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุที่เกิดจากความผิดของผู้เอาประกันภัย
3. ประเภทของประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครอง
- ประกันรถยนต์ประเภท 1 ให้ความคุ้มครองทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับยานพาหนะของผู้เอาประกันภัยและคู่กรณี รวมถึงความบาดเจ็บทางร่างกาย และความเสียหายจากอุบัติเหตุ เช่น ไฟไหม้ โจรกรรม หรือภัยธรรมชาติ นอกจากนี้ยังครอบคลุมความเสียหายจากกระจกรถและค่าใช้จ่ายในการลากจูงอีกด้วย
- ประกันรถยนต์ประเภท 2+ คล้ายกับประเภท 1 แต่จะไม่คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับยานพาหนะของผู้เอาประกันภัยหากไม่มีคู่กรณี เช่น การชนกับกำแพงหรือลานจอดรถ เป็นต้น
- ประกันรถยนต์ประเภท 3+ คุ้มครองเฉพาะกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนกับยานพาหนะทางบกที่มีคู่กรณีเท่านั้น
- ประกันรถยนต์ประเภท 2 คุ้มครองชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของคู่กรณี รวมถึงการสูญหายและความเสียหายจากเหตุการณ์ไฟไหม้ของรถยนต์ผู้เอาประกันภัย
- ประกันรถยนต์ประเภท 3 คุ้มครองเฉพาะความเสียหายที่เกิดกับชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของคู่กรณี
4. ประกันภัยอื่น ๆ ที่อาจต้องใช้เพิ่มเติม
ผู้เอาประกันภัยอาจต้องพิจารณาเพิ่มประกันอื่น ๆ ที่ให้ความคุ้มครองเพิ่มเติม เช่น ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล หรือ ประกันที่คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น

การเลือกประกันภัยที่เหมาะสมกับการใช้งาน
ประกันภัยรถยนต์มีหลากหลายแบบให้เลือกตามความต้องการและงบประมาณของผู้เอาประกันภัย ซึ่งการเลือกประกันที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณได้รับความคุ้มครองที่ตรงกับการใช้งานมากที่สุด ในกรณีเกิดอุบัติเหตุรถชน ประกันภัยรถยนต์จะช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นได้ตามประเภทที่เลือก ดังนี้
1. ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1
ประกันชั้น 1 เป็นประกันที่ครอบคลุมทุกความเสี่ยง เหมาะสำหรับรถใหม่ป้ายแดง หรือรถหรูที่ต้องการความคุ้มครองแบบจัดเต็ม โดยไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุชน คว่ำ ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือแม้แต่รถหาย ก็สามารถอุ่นใจได้ เพราะประกันชั้น 1 คุ้มครองทั้งรถของเราและคู่กรณี นอกจากนี้ยังมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย
2. ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+
ประกันชั้น 2+ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองที่หลากหลาย แต่มีงบประมาณจำกัด ประกันประเภทนี้ให้ความคุ้มครองในกรณีรถชน รถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม เหมือนประกันชั้น 1 แต่จะคุ้มครองเฉพาะกรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการความคุ้มครองครบทุกกรณีแต่ยังคงได้รับความคุ้มครองพื้นฐาน
3. ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+
ประกันชั้น 3+ คุ้มครองความเสียหายของคู่กรณีเป็นหลัก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองในราคาเบา ๆ โดยประกันชนิดนี้จะคุ้มครองกรณีรถชนเฉพาะเมื่อเราเป็นฝ่ายถูก และจะชดเชยความเสียหายของคู่กรณีเท่านั้น
4. ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2 และ 3
ประกันชั้น 2 จะคุ้มครองความรับผิดชอบต่อคู่กรณีกรณีรถหาย ไฟไหม้ และความเสียหายจากการชนกับยานพาหนะทางบก ส่วนประกันชั้น 3 จะคุ้มครองเฉพาะความรับผิดชอบต่อคู่กรณีในกรณีชนกับยานพาหนะทางบก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดเบี้ยประกันและมั่นใจในฝีมือการขับขี่ของตัวเอง
สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนซื้อประกันภัยรถยนต์
การเลือกประกันภัยรถยนต์ถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณได้รับความคุ้มครองในกรณีเกิดอุบัติเหตุรถชน แต่ยังส่งผลต่อค่าใช้จ่ายประจำปี และความอุ่นใจในการขับขี่บนท้องถนนด้วย ดังนั้น ก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อประกันภัยรถยนต์ ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ ได้แก่
1. ประเภทของรถและอายุการใช้งาน หากรถของคุณเป็นรถใหม่ หากคุณมีรถใหม่หรือรถหรูที่มีมูลค่าสูง การเลือกทำประกันภัยชั้น 1 เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด เพราะจะให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมทั้งรถของคุณและคู่กรณีในทุกกรณี เช่น ชน คว่ำ ไฟไหม้ น้ำท่วม และแม้แต่รถหาย แต่หากรถของคุณเป็นรถเก่าที่มีมูลค่าต่ำลง อาจพิจารณาทำประกันภัยประเภทอื่นที่เบี้ยประกันถูกกว่าได้ เช่น ประกันภัยชั้น 2+ หรือชั้น 3+ ซึ่งจะเหมาะสมกว่าทั้งในแง่ของงบประมาณและความคุ้มครองนั่นเอง
2. การใช้งานและความเสี่ยง หากคุณขับขี่รถเป็นประจำหรือเส้นทางที่ใช้มีความเสี่ยงสูง เช่น การขับขี่ในเมืองที่มีความหนาแน่น หรือเส้นทางต่างจังหวัดที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ควรเลือกทำประกันภัยชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองทุกกรณีอย่างครอบคลุม แต่หากคุณใช้รถไม่บ่อย หรือมีกิจกรรมขับขี่น้อยลง การเลือกทำประกันภัยชั้น 2 หรือชั้น 3 ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากเบี้ยประกันจะถูกกว่าประกันชั้น 1 พอสมควร
3. งบประมาณในการซื้อ การเลือกประกันภัยที่เหมาะสมต้องคำนึงถึงงบประมาณที่คุณสามารถจ่ายได้ ควรเปรียบเทียบเบี้ยประกันจากหลายบริษัท เพื่อเลือกประเภทประกันที่คุ้มค่าและสอดคล้องกับความต้องการของคุณ ทั้งนี้ ควรพิจารณาความคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ รวมถึงค่าเบี้ยประกันที่จะต้องจ่ายประจำปีด้วย
4. ความน่าเชื่อถือของบริษัทประกันภัย ก่อนซื้อประกันรถยนต์ ควรตรวจสอบชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบริษัทประกันภัย ว่ามีบริการที่ดีและมีความมั่นคงหรือไม่ คุณสามารถตรวจสอบจากรีวิวหรือความเห็นจากลูกค้าที่ใช้บริการมาก่อนได้
5. การเปรียบเทียบเบี้ยประกัน การเลือกซื้อประกันภัยไม่ควรเลือกซื้อประกันเพียงแค่จากราคาที่ถูกที่สุด ควรเปรียบเทียบเบี้ยประกันจากบริษัทต่าง ๆ และพิจารณาความคุ้มครองที่จะได้รับ ซึ่งการเลือกประกันที่เหมาะสมไม่ควรแค่เน้นที่ราคาเบี้ยประกัน แต่ควรคำนึงถึงความคุ้มครองที่ตรงกับความต้องการของคุณด้วย
6. ความคุ้มครองที่ต้องการ หากคุณต้องการความคุ้มครองที่ครบถ้วน เช่น การชดเชยค่าเสียหายจากอุบัติเหตุชนทั้งกับรถของตัวเองและคู่กรณี รวมถึงกรณีรถหาย ไฟไหม้ หรือแม้กระทั่งภัยจากน้ำท่วม การเลือกประกันชั้น 1 จะเหมาะสมที่สุด แต่หากคุณต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกันแต่ยังคงได้รับการคุ้มครองที่เพียงพอ ประกันชั้น 2+ หรือ 3+ ก็เป็นตัวเลือกที่ดี โดยมีความคุ้มครองที่ลดลงตามลำดับแต่ยังคุ้มค่า
7. การเข้าใจเงื่อนไขประกันภัย การทำความเข้าใจเงื่อนไขค่าเสียหายส่วนแรก จะเกิดขึ้นในกรณีที่ไม่มีคู่กรณีหรือเกิดจากความประมาทของตัวเองโดยคุณต้องจ่ายเมื่อเป็นฝ่ายผิด ซึ่งอาจส่งผลให้คุณได้รับการลดค่าเบี้ยประกันในปีถัดไปได้
8. การบริการหลังการขาย บริษัทประกันที่ดีควรมีบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ต้องมีเจ้าหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือตลอดเวลา และกระบวนการเคลมที่ไม่ยุ่งยากหรือซับซ้อน
9. ศูนย์บริการและอู่ซ่อม ควรตรวจสอบว่า บริษัทประกันมีเครือข่ายศูนย์บริการและอู่ซ่อมที่ครอบคลุมพื้นที่ของคุณหรือไม่ รวมถึงคุณภาพของอู่ซ่อม เพื่อป้องกันปัญหาในการซ่อมรถหลังเกิดอุบัติเหตุ
10. ทุนประกัน หรือวงเงินที่บริษัทประกันจะจ่ายสูงสุดในกรณีที่รถเกิดความเสียหาย โดยปกติแล้วรถใหม่จะได้รับทุนประกันสูงถึง 80% ของมูลค่ารถ และทุนประกันจะลดลงตามอายุของรถ ซึ่งต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับค่าเบี้ยประกันที่คุณจ่าย
ขั้นตอนการเคลมประกันในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
การเคลมประกันรถยนต์ในกรณีเกิดอุบัติเหตุเป็นกระบวนการที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและสะดวกหากผู้ขับขี่ทราบขั้นตอนและเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่แรก โดยในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ผู้ขับขี่ควรติดต่อบริษัทประกันภัยทันทีเพื่อแจ้งเหตุการณ์และเริ่มกระบวนการเคลมประกัน ซึ่งสามารถทำได้ตามประเภทของประกันที่เลือกทำไว้ ดังนี้
1. เคลมประกันรถยนต์แบบทันทีที่เกิดเหตุ
- กรณีที่มีคู่กรณี ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด ควรเก็บข้อมูลของคู่กรณี เช่น หมายเลขทะเบียนรถ, ชื่อ-นามสกุล, เบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น และแจ้งให้บริษัทประกันทราบ เพื่อให้พนักงานมาถึงที่เกิดเหตุและเริ่มกระบวนการเคลม
- กรณีไม่มีคู่กรณี หากเกิดอุบัติเหตุแบบถูกชนแล้วหนี หรือเกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่สามารถหาหลักฐานได้ เช่น การชนฟุตบาท ถอยชนต้นไม้ บริษัทประกันภัยจะพิจารณาให้เคลมเฉพาะในประกันชั้น 1 โดยผู้เอาประกันอาจต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรก หากตกลงกับบริษัทไว้
2. เคลมประกันรถยนต์แบบหลังจากเกิดเหตุ
กรณีอุบัติเหตุเล็กน้อย หากอุบัติเหตุไม่รุนแรงมาก เช่น ขับรถชนสิ่งของหรือขูดฟุตบาท และไม่มีคู่กรณี ผู้เอาประกันสามารถเคลมประกันได้เองโดยไปที่อู่ซ่อมและแจ้งบริษัทประกันให้ทำการประเมินความเสียหาย โดยเอกสารที่ต้องใช้ในการเคลม ผู้เอาประกันต้องเตรียมเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน, เล่มทะเบียนรถ, สำเนากรมธรรม์ประกันภัย, ภาพถ่ายที่เกิดเหตุ หรือหลักฐานอื่นๆ เพื่อประกอบการพิจารณาได้
3. เคลมประกันรถยนต์แบบความเสียหายรุนแรง
หากเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้รถไม่สามารถใช้งานได้ทันที เช่น การชนที่ทำให้ตัวรถเสียหายมาก บริษัทประกันจะทำการตรวจสอบและพิจารณาความเสียหายให้กับผู้เอาประกัน โดยจะจ่ายค่าชดเชยภายในระยะเวลา 7 วัน นับจากวันที่เอกสารเคลมถูกต้องครบถ้วน
4. เคลมค่าขาดประโยชน์ระหว่างซ่อม
หากผู้เอาประกันต้องไม่มีรถใช้ในระหว่างการซ่อมและเกิดจากอุบัติเหตุที่คู่กรณีเป็นฝ่ายผิด การเคลมค่าชดเชยในระหว่างการซ่อมจะเกิดขึ้น โดยต้องมีการเรียกร้องจากบริษัทประกันภัยของคู่กรณี พร้อมเอกสารที่สำคัญ เช่น ใบรับซ่อมรถ, เอกสารการเรียกร้องสินไหม เป็นต้น
การเคลมประกันรถยนต์นั้นไม่ซับซ้อน หากผู้ขับขี่สามารถทำตามขั้นตอนและเตรียมเอกสารให้พร้อมตั้งแต่แรกจะช่วยให้กระบวนการเคลมเสร็จสิ้นได้รวดเร็ว และลดความยุ่งยากที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน ประกันภัยรถยนต์จะช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายตามประเภทของประกันที่เลือก เช่น ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 จะคุ้มครองทั้งรถของผู้เอาประกันและคู่กรณี รวมถึงความเสียหายจากการชน, ไฟไหม้, การโจรกรรม, และภัยธรรมชาติ รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการแพทย์และการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ขณะที่ประกันภัยชั้น 2+ และ 2 จะครอบคลุมการชนกับคู่กรณีหรือความเสียหายของรถผู้เอาประกันเอง แต่ไม่ครอบคลุมภัยธรรมชาติหรือการโจรกรรม ส่วนประกันชั้น 3+ และ 3 จะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายที่เกิดกับคู่กรณีเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีการชดเชยค่าเสียหายที่เกิดจากการบาดเจ็บของบุคคลภายนอกและทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุบนท้องถนนตามความคุ้มครองของแต่ละประเภทประกันที่เลือก และเงื่อนไขของกรม