รถยนต์อายุเกิน 7 ปี ต้องตรวจสภาพที่ “ตรอ.” ก่อนเสียภาษีจริงหรือ?
รถใหม่ หรือรถยนต์ที่อายุการใช้งานยังไม่ครบ 7 ปี ก็สามารถต่ออายุ และทำการเสียภาษีได้เลย แต่สำหรับรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 7 ปี จำเป็นที่จะต้องตรวจเช็กสภาพที่ ตรอ. ก่อนจริงหรือ ? แล้วถ้าไม่ตรวจจะสามารถเสียภาษีได้หรือไม่ ลองมาหาคำตอบได้ในบทความนี้กับ SILKSPAN
ตรอ. คืออะไร?
ตรอ. เป็นตัวย่อมาจาก สถานตรวจสภาพรถเอกชน ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบกว่ามีความพร้อมความสามารถในการตรวจสอบสภาพรถได้ โดยสามารถเลือกใช้บริการที่ตรอ.ได้ เพื่อความสะดวก และประหยัดเวลาในการนำรถเข้าไปตรวจที่กรมขนส่งทางบก
รถยนต์อายุเกิน 7 ปี ต้องตรวจสภาพรถที่ “ตรอ.” ก่อนเสียภาษีจริงหรือ?
จากที่มีการส่งต่อข่าวสารทางออนไลน์กันว่า “รถยนต์ที่มีอายุเกิน 7 ปี” และ ”รถจักรยานยนต์อายุเกิน 5 ปี” “ไม่ต้องตรวจสภาพ” ที่ตรอ. ก่อนการเสียภาษีนั้น “ไม่เป็นความจริง”
ในปัจจุบันทั้งรถยนต์ที่มีอายุการใช้งาน 7 ปีขึ้นไป และรถจักรยานยนต์ 5 ปีขึ้นจึงยังต้องผ่านการตรวจสอบกับตรอ.ก่อนการเสียภาษีทุกอายุการใช้งาน
ขั้นตอนตรวจสภาพรถที่ตรอ.มีดังนี้
สำหรับขั้นตอนการตรวจสภาพรถที่ ตรอ. อันดับแรกจะมีการเรียกตรวจข้อมูลความถูกต้องของเอกสารให้ครบถ้วน เพื่อตรวจเช็กดูว่าข้อมูลในสมุดทะเบียนรถตรงกับตัวรถที่นำมาตรวจสภาพหรือไม่ หลังจากนั้นจึงจะตรวจสภาพรถทั้งภายนอกและภายในอย่างละเอียด โดยขั้นตอนการตรวจสภาพรถที่ ตรอ. มีดังนี้
1.ตรวจสอบความถูกต้องของรถเบื้องต้น
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าขั้นตอนแรกของการตรวจสภาพรถที่ ตรอ. คือการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลรถ ด้วยการนำสมุดเล่มทะเบียนรถตรวจเช็กดูว่ายี่ห้อรถ รุ่นรถ ป้ายทะเบียน สีรถ หรือเลขตัวถัง ตรงกับรถคันที่นำมาตรวจสภาพหรือไม่ หากพบว่ารถมีการดัดแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติม เช่น ติดตั้งแก๊ส LPG/NGV เจ้าของรถจะต้องมีหนังสือรับรองประกอบการติดตั้ง เป็นต้น
2.การตรวจภายนอกและอุปกรณ์ความปลอดภัย
หลังจากที่ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลรถกันไปแล้ว ต่อมาเป็นการตรวจภายนอกรถ เช่น การตรวจเช็กดูกันชน ประตู ยางรถยนต์ รวมทั้งการตรวจดูใต้ท้องรถเพื่อเช็กระบบความปลอดภัยใต้ท้องรถในส่วนต่าง ๆ ตลอดไปจนถึงโครงสร้างของตัวรถว่ายังอยู่ในสภาพที่พร้อมต่อการใช้งานได้ตามปกติหรือไม่
3.การทดสอบศูนย์ล้อหน้า
ต่อมาจะเป็นการตรวจภายในตัวรถ ซึ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน เช่น พวงมาลัย หน้าปัด กระจกมองทุกตำแหน่ง เข็มขัดนิรภัย ไฟสัญญาณต่าง ๆ เพื่อให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมสามารถทำงานได้ตามปกติ
4.การทดสอบระบบเบรก
ช่วงล่างของรถนับว่าเป็นส่วนที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก การทดสอบศูนย์ล้อหน้าจึงต้องมีการปรับมุมล้อให้มั่นคง เพื่อช่วยในเรื่องของการควบคุมรถที่ไม่เสียสมดุลเอียงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังสามารถช่วยยืดอายุการใช้งานของยางรถยนต์ให้นานขึ้นได้อีกด้วย
5.การตรวจวัดโคมไฟหน้า
นอกจากเรื่องของการตั้งศูนย์ล้อหน้าแล้ว อีกหนึ่งส่วนสำคัญของตัวรถยนต์ก็คือระบบเบรก โดยจะมีการตรวจเช็กอุปกรณ์ทุกชื้นที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบเบรกให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และพร้อมต่อการใช้งานมากที่สุด
6.ตรวจวัดคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และไฮโดรคาร์บอน (HC)
การตรวจวัดโคมไฟหน้าจะเป็นการตรวจวัดทิศทางและการเบี่ยงเบนของแสง รวมถึงวัดค่าความเข้มข้นของแสงว่าอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานหรือไม่ เพื่อสร้างความปลอดภัยต่อผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ ในการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
7.ตรวจวัดค่าควันดำ
การตรวจสอบวัดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และก๊าซไฮโดรคาร์บอน (HC) เป็นการตรวจวัดว่ารถยนต์แต่ละคันปล่อยก๊าซดังกล่าวออกมาในปริมาณเกินกว่าที่กำหนดหรือไม่ โดยรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ที่จดทะเบียนตั้งแต่ 1 ม.ค. 2550 เป็นต้นไป จะต้องมีค่าก๊าซ CO ไม่เกินร้อยละ 0.5 และมีค่าก๊าซ HC ไม่เกิน 100 ส่วนในล้านส่วน
8.ตรวจวัดระดับเสียงจากท่อไอเสีย
สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์เครื่องดีเซลที่มาตรวจสภาพรถกับ ตรอ. จะต้องทำการตรวจวัดค่าควันดำ โดยจะต้องมีระบบกระดาษกรองไม่เกินร้อยละ 50 และระบบวัดความทึบแสงไม่เกินร้อยละ 45
9.ตรวจวัดระดับเสียงจากท่อไอเสีย
การตรวจวัดระดับเสียงจากท่อไอเสียสำหรับรถยนต์จะต้องไม่เกิน 100 เดซิเบล เอ และในส่วนของรถจักรยานยนต์จะต้องไม่เกิน 95 เดซิเบล เอ
ค่าบริการการตรวจสภาพรถ
- รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าไม่เกิน 1,600 กก. ค่าบริการ 150 บาท/คัน
- รถยนต์ที่มีน้ำหนักรถเปล่าเกิน 1,600 กก. ค่าบริการ 250 บาท/คัน
- รถจักรยานยนต์ ค่าบริการ 60 บาท/คัน
เมื่อทำการตรวจสอบรถยนต์ที่ตรอ. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้อมูลจากการตรวจสอบจะถูกส่งไปยังกรมขนส่งทางบกแบบเรียลไทม์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เสียภาษีให้สามารถดำเนินการชำระภาษีในขั้นตอนถัดไปได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับการชำระภาษีออนไลน์ หากรถยนต์ของคุณยังไม่ผ่านการตรวจสอบที่ตรอ. จะมีข้อความแจ้งเตือนให้นำรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ของท่านเขาไปตรวจสภาพให้เสร็จสิ้นก่อน จึงจะสามารถดำเนินการชำระภาษีได้นั่นเอง
การเสียภาษีรถยนต์สามารถชำระได้ล่วงหน้าถึง 90 วัน และสามารถเลือกชำระ และต่อภาษีรถยนต์ได้อย่างหลากหลายช่องทาง สำหรับผู้ที่มีรถยนต์ที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป และรถยนต์จักรยานยนต์ที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป ก็อย่าลืมจะที่จะนำรถของคุณไปทำการตรวจเช็กสภาพก่อนการเสียภาษี และเพื่อความปลอดภัยในการใช้งานของคุณ และผู้ร่วมใช้ถนนด้วยเช่นกัน