
ที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ AC และ DC ต่างกันอย่างไร ?

เทรนด์ตอนนี้กำลังมาแรงแบบฉุดไม่อยู่เลยทีเดียว สำหรับ รถ EV หรือ รถยนต์ไฟฟ้า นั่นเอง ที่เข้ามามีบทบาทในมากขึ้นในช่วงหลัง ๆ เนื่องจากวิกฤติด้านพลังงานที่โลกกำลังเผชิญ การใช้พลังงานสะอาดที่มีความยั่งยืนมากกว่า และมีค่าใช้จ่ายที่น้อยมากกว่า จึงเป็นตัวเลือกที่หลาย ๆ คนให้ความสนใจ ซึ่งในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า การชาร์จแบตเตอรี่เป็นสิ่งที่สำคัญ เหมือนกับการเติมน้ำมันของรถยนต์แบบเดิม ๆ ทว่าที่ชาร์จกลับมีให้เลือกทั้งแบบ AC และ DC ที่ชาร์จแบตเตอรี่ทั้งสองแบบต่างกันอย่างไร แบบไหนดีกว่ากัน มาหาคำตอบพร้อม ๆ กันในบทความนี้
ทำความรู้จักกับ ที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบ AC และ DC แบบไหน คืออะไร ?
รถยนต์ไฟฟ้า จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ซึ่งก็คล้าย ๆ กับโทรศัพท์มือถือที่เรามีกันทุก ๆ คนนั่นแหละ แต่ว่าเรื่องของ “ที่ชาร์จรถไฟฟ้า” กลับมีให้เลือกถึง 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ แบบ AC และ แบบ DC ผู้ที่กำลังสนใจรถยนต์พลังงานไฟฟ้า น่าจะอยากรู้ว่าที่ชาร์จแบตเตอรี่ทั้งสองรูปแบบแตกต่างกันอย่างไร ควรจะเลือกแบบไหนถึงจะดีกว่ากัน มาทำความรู้จักกับที่ชาร์จทั้งสองแบบกันเลยดีกว่า
-
ที่ชาร์จรถไฟฟ้ากระแสสลับ (AC)
เริ่มจากแบบ AC ย่อมาจาก Alternating Current เป็นที่ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์แบบ “ไฟฟ้ากระแสสลับ” นิยมใช้กันในครัวเรือนทั่วไป รองรับกำลังไฟสูงสุดได้ที่ 22 kW ในปัจจุบันมักจะพบในรูปแบบของ Wallbox ราคาไม่แพงมากนัก ติดตั้งง่ายกับระบบไฟฟ้าภายในบ้าน อาจจะต้องมีการเพิ่มระบบไฟขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ความเร็วในการชาร์จอาจไม่รวดเร็วทันใจมากนัก แต่ก็เป็นการชาร์จที่ถนอมแบตเตอรี่มากกว่า เมื่อเทียบกับการชาร์จแบบ DC เพราะไม่ทำให้เกิดความร้อนขณะชาร์จแบตเตอรี่มากนัก
-
ที่ชาร์จรถไฟฟ้ากระแสตรง (DC)
ในส่วนของที่ชาร์จแบบ DC ย่อมาจาก Direct Current เป็นการใช้ “ไฟฟ้ากระแสตรง” เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ แน่นอนว่ากำลังไฟที่ใช้นั้นจะแรงกว่าแบบ AC อยู่พอสมควร ทำให้ระยะเวลาการชาร์จน้อยลงมา มักจะถูกเรียกว่าการชาร์จแบบ Fast Charge ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ต่างรองรับระบบนี้กันทั้งสิ้น มีราคาที่ค่อนข้างสูง จำเป็นต้องมีหม้อแปลงไฟฟ้าแยกออกมาโดยเฉพาะ จึงพบได้เฉพาะในสถานีชาร์จนอกบ้านเท่านั้น ซึ่งการชาร์จแบบ DC เป็นประจำ จะทำให้แบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าเสื่อมสภาพเร็ว

เลือกใช้ที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบไหนดี ? ถ้าใช้ผิดประเภทรถจะพังหรือไม่
ถึงที่ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ทว่าที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็สามารถใช้งานได้เหมือน ๆ กัน ไม่ได้ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเกิดความเสียหายแต่อย่างใด ในการใช้งานที่จะแตกต่างกันก็จะเป็น “ระยะเวลาการชาร์จ” ที่จะต้องพิจารณาแบบจริงจัง ก็จะเป็นความน่าเชื่อถือของที่ชาร์จ ควรเลือกใช้เฉพาะที่ชาร์จที่ได้มาตรฐาน เพราะ รถ EV ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากโทรศัพท์มือถือ หากใช้ที่ชาร์จที่ได้มาตรฐาน ก็จะทำให้เกิดความปลอดภัยระหว่างการชาร์จ พร้อมกับการถนอมคุณภาพแบตเตอรี่ ให้มีอายุการใช้งานที่ยืนยาวอีกด้วย
จะรู้ได้อย่างไร ? ว่าที่ชาร์จรถไฟฟ้านอกบ้าน ที่ไหนเป็นแบบ AC หรือ DC
ในกรณีที่จำเป็นจะต้องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้านอกบ้าน เคล็ดลับง่าย ๆ คือใช้ Google จากนั้นพิมพ์เข้าไปว่า “ที่ชาร์จรถไฟฟ้าใกล้ฉัน” เพียงเท่านี้คุณก็จะเห็นสถานีชาร์จที่อยู่ใกล้ตัวคุณมากที่สุดแล้ว แต่ ! จะรู้ได้อย่างไร ว่าที่ชาร์จตรงนั้นเป็นแบบ AC หรือ DC กันแน่ ? ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ให้บริการ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอยู่หลายเจ้า แต่ละเจ้าก็จะมีรูปแบบการให้บริการที่ต่างกันออกไป ส่วนมากแล้วหัวชาร์จมาตรฐานก็จะเป็นแบบ DC เป็นหลัก มีเพียงไม่กี่เจ้าในประเทศไทยเท่านั้น ที่จะมีหัวชาร์จแบบ AC เนื่องจากชาร์จช้า ไม่ค่อยเป็นที่นิยมสักเท่าไหร่
5 สิ่งที่ควรระวัง ! ในขณะชาร์จแบตเตอรี่ ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าควรต้องรู้
- หลีกเลี่ยงการชาร์จไฟฟ้าในช่วงที่สภาพอากาศที่ฝนตกหนักมาก หรือ มีน้ำเจิ่งนองอยู่บนพื้น เพื่อความปลอดภัยจากไฟฟ้าลัดวงจร
- หากเป็นไปได้ไม่อยากให้ชาร์จแบบ DC บ่อยมาก เพราะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็ว จากความร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างชาร์จ
- อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าลดลงจนเหลือ 0% ถ้าจะให้ดีเมื่อลดลงมาจนเหลือประมาณ 20% หรือ 30% ก็สามารถชาร์จได้แล้ว และอย่าชาร์จจนเต็ม 100% แค่ประมาณ 80% ก็เพียงพอ
- ถ้าแบตเตอรี่รถยนต์ยังไม่จำเป็นต้องชาร์จ ก็ไม่ต้องชาร์จแบตทุกวัน และเมื่อชาร์จจนเพียงพอแล้วก็ให้ถอดสายออก เพราะ การชาร์จบ่อยเกินไป และ เสียบสายชาร์จคาเอาไว้ เป็นพฤติกรรมที่ทำให้แบตเสื่อมเร็ว
- เลือกใช้เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐานเท่านั้น ไม่ใช้สายชาร์จราคาถูกที่ไม่มีการรับรองคุณภาพ เนื่องจากอาจทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเสียหาย หรือ เกิดเพลิงไหม้ได้เลยในกรณีที่เลวร้าย
บทส่งท้าย
บทความนี้น่าจะเป็นประโยชน์ สำหรับผู้ที่สนใจอยากครอบครองรถยนต์ไฟฟ้า ไม่มากก็น้อย เพื่อให้รู้ว่าที่ชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์แบบไหน เหมาะสมมากกว่ากัน เราขอสรุปให้สั้น ๆ ในช่วงท้ายของบทความนี้เลยว่า ที่ชาร์จแบบ AC เป็นที่ชาร์จสำหรับใช้งานในครัวเรือนทั่วไป ชาร์จแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ที่ชาร์จแบบ DC จะเป็นที่ชาร์จในสถานีชาร์จโดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นการชาร์จแบบเร่งรีบ ใช้บ่อย ๆ ก็อาจไม่ส่งผลดีต่อคุณภาพแบตเตอรี่ได้
สุดท้าย ท้ายสุด การมีรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากเรื่องของที่ชาร์จแบตเตอรี่แล้ว อย่าลืมคิดถึงเรื่องของ “ประกันภัยรถยนต์” ซึ่ง SILKSPAN คือผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ เราพร้อมแนะนำประกันภัยรถยนต์ ที่เหมาะกับรถยนต์ไฟฟ้าของคุณมากที่สุด ซื้อประกันภัยรถยนต์ล่วงหน้าได้แล้วตอนนี้ เพียงกรอกรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้านล่างบทความนี้เท่านั้น แล้วทีมงานของเราจะรีบติดต่อกลับไปโดยเร็วที่สุด