ข้อมูลเครดิต เครดิตบูโร คืออะไร? สำคัญยังไงกับการขอสินเชื่อ
หากคุณกำลังวางแผนจะทำบัตรเครดิต หรือขอสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อบ้าน เชื่อว่าคงเคยได้ยินคำว่า “เครดิตบูโร” กันมาไม่มากก็น้อย เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สถาบันการเงินนำมาใช้ในการพิจารณาอนุมัติการขอสินเชื่อ แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า เครดิตบูโรคืออะไร? มีความสำคัญอย่างไรต่อการอนุมัติสินเชื่อในด้านไหน? SILKSPAN ได้รวบรวมข้อมูลมาให้แล้ว ตามไปดูกันเลย!
เครดิตบูโร คืออะไร มีข้อมูลสำคัญอะไรบ้าง
เครดิตบูโร หรือบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงินของประชาชนและนิติบุคคลทั่วประเทศ โดยจะเก็บบันทึกข้อมูลเครดิตมาจากสถาบันการเงิน และบริษัทที่เป็นสมาชิก ซึ่งผู้ให้บริการด้านสินเชื่อสามารถใช้เป็นฐานข้อมูลในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ และประเมินความน่าเชื่อถือทางการเงินของผู้ขอสินเชื่อได้
ข้อมูลสำคัญที่เครดิตบูโรจัดเก็บไว้ จะมีอยู่ 2 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่
1. ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ขอสินเชื่อ
ข้อมูลส่วนบุคคลที่เครดิตบูโรจัดเก็บ จะประกอบด้วยข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ยืนยันตัวตนของคุณ เช่น ชื่อ-นามสกุล เลขประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด และที่อยู่ ส่วนนิติบุคคลจะมีข้อมูลชื่อบริษัท เลขทะเบียนนิติบุคคล และที่ตั้งสำนักงานด้วย
2. ข้อมูลสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติและประวัติการชำระหนี้
เครดิตบูโรจะเก็บข้อมูลสินเชื่อทุกประเภทที่ได้รับอนุมัติ พร้อมประวัติการชำระเงินย้อนหลัง โดยแสดงสถานะบัญชีตามความเป็นจริง ทั้งบัญชีที่ชำระปกติ บัญชีที่ปิดแล้ว บัญชีที่มีการค้างชำระ หรือบัญชีที่อยู่ระหว่างดำเนินคดี ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะสะท้อนพฤติกรรมการชำระหนี้ และความน่าเชื่อถือทางการเงินของแต่ละบุคคลได้ จึงถูกนำไปใช้เป็นข้อมูลพิจารณาการอนุมัติสินเชื่อนั่นเอง
เครดิตบูโรมีความสำคัญกับการขอสินเชื่ออย่างไร
ข้อมูลเครดิตบูโรเป็นเครื่องมือสำคัญที่สถาบันการเงินใช้พิจารณาอนุมัติสินเชื่อ รวมถึงการทำบัตรเครดิต เพราะสามารถบ่งบอกถึงพฤติกรรมการชำระหนี้ ความรับผิดชอบทางการเงิน และความน่าเชื่อถือของผู้ขอสินเชื่อได้ โดยสถาบันการเงินจะนำข้อมูลนี้ไปวิเคราะห์ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น รายได้ต่อเดือน ความสามารถในการชำระหนี้ และหลักประกัน เพื่อประเมินความเสี่ยง และกำหนดวงเงินสินเชื่อที่เหมาะสมให้กับผู้ขอสินเชื่อ
รู้จัก 10 สถานะบัญชีเครดิตบูโรที่สำคัญ มีผลต่อการขอสินเชื่อ
เมื่อคุณเช็คเครดิตบูโร จะพบสถานะบัญชีที่แสดงประวัติการชำระหนี้ของคุณ ซึ่งมีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อในอนาคต โดยสถานะบัญชีเครดิตบูโรที่สำคัญจะมีอยู่ 10 ตัวหลัก ๆ ดังนี้
- สถานะ 0 : ไม่มีการค้างชำระ หรือค้างชำระไม่เกิน 1 เดือน
- สถานะ 1 : ค้างชำระ 1-2 เดือน (31-60 วัน)
- สถานะ 2 : ค้างชำระ 2-3 เดือน (61-90 วัน)
- สถานะ 3 : ค้างชำระ 3-4 เดือน (91-120 วัน)
- สถานะ 4 : ค้างชำระ 4-5 เดือน (121-150 วัน)
- สถานะ 6 : ค้างชำระ 6-7 เดือน (181-210 วัน)
- สถานะ 7 : ค้างชำระ 7-8 เดือน (211-240 วัน)
- สถานะ 8 : ค้างชำระ 8-9 เดือน (241-270 วัน)
- สถานะ 9 : ค้างชำระ 9-10 เดือน (271-300 วัน)
- สถานะ F : ค้างชำระมากกว่า 10 เดือน (มากกว่า 300 วัน)
ฉันสามารถเช็กเครดิตบูโรได้ที่ไหน
คุณสามารถตรวจสอบเครดิตบูโรได้หลายช่องทาง ทั้งที่ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร เคาน์เตอร์ธนาคาร แอปพลิเคชันมือถือ หรือตู้ ATM ของธนาคารที่ให้บริการ หากพบว่าข้อมูลไม่ถูกต้อง สามารถยื่นคำขอแก้ไขได้ที่สถาบันการเงินเจ้าของข้อมูล หรือติดต่อศูนย์ตรวจเครดิตบูโรโดยตรง โดยเฉพาะกรณีที่คุณถูกปฏิเสธสินเชื่อ เพราะสามารถขอตรวจสอบข้อมูลได้ฟรีภายใน 30 วัน!
ถ้าติดเครดิตบูโร ต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะหลุด
โดยทั่วไป เครดิตบูโรจะแสดงประวัติการชำระหนี้ย้อนหลัง 3 ปี สำหรับบัญชีที่ปิดปกติ และ 5 ปีสำหรับบัญชีที่ค้างชำระเกิน 90 วัน หลังจากครบกำหนด ข้อมูลจะค่อย ๆ หายไปจากระบบเอง อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินอาจเก็บประวัติการใช้สินเชื่อไว้นานกว่านั้นตามเกณฑ์ภายในของแต่ละแห่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง แนะนำให้ชำระหนี้ปกติ เพื่อไม่ให้สถานะการเงินเสียก็จะดีที่สุด
สร้างเครดิตทางการเงินใหม่กับ SILKSPAN ด้วยสินเชื่อรถแลกเงิน
การมีประวัติเครดิตทางการเงินที่ดีเป็นสิ่งสำคัญต่อการขอสินเชื่อในอนาคต ดังนั้นควรวางแผนการใช้จ่ายและชำระหนี้อย่างมีวินัย หากคุณพบปัญหาทางการเงิน ควรรีบติดต่อสถาบันการเงินเพื่อหาวางแผนปรับโครงสร้างหนี้อย่างเหมาะสม อย่าปล่อยให้หนี้ค้างชำระจนกระทบต่อเครดิตบูโร เพราะกว่าจะแก้ให้กลับมาเป็นปกติได้ก็ต้องใช้เวลาหลายปีเลย
สำหรับใครที่เคยติดเครดิตบูโรมาก่อน อยากสร้างเครดิตทางการเงินใหม่ให้กับตนเอง SILKSPAN มีบริการสินเชื่อรถแลกเงินที่ไม่ต้องใช้คนค้ำ อนุมัติง่าย ได้เงินเร็ว มาแนะนำ นอกจากจะได้เงินก้อนไปใช้หมุนเวียนแล้ว ถ้าคุณชำระหนี้ตรงเวลา ก็จะช่วยสร้างเครดิตทางการเงินใหม่ได้ง่าย ๆ หลังจากนั้นถ้าไปขอสินเชื่อใหญ่ ๆ อย่างสินเชื่อบ้าน ก็ผ่านได้ไม่ยากแน่นอน!
