การันตีเช็กเบี้ยประกันรถถูกลง 30%

น้ำท่วมรถ เคลมประกันได้ไหม ควรทำยังไงดี


น้ำท่วมรถ เคลมประกันได้ไหม ควรทำยังไงดี

น้ำท่วมรถ ถือเป็นปัญหาที่หลาย ๆ คนต้องพบเจอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าฝน ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่าแค่น้ำท่วมรถ น่าจะไม่เป็นเรื่องใหญ่อะไร ความจริงแล้วรถยนต์เป็นอะไรที่อ่อนไหวต่อน้ำมาก ๆ แม้ว่าจะเป็นรถราคาแพงก็อาจจะเกิดความเสียหายหนักต่อรถของคุณได้ ดังนั้นการเลือกประกันภัยรถยนต์ที่ครอบคลุมถึงเหตุการณ์แบบนี้จึงสำคัญมาก โดยวันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยที่หลาย ๆ คนอาจจะยังคาใจว่า น้ำท่วม เคลมประกันได้หรือไม่?

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1

ประกันรถยนต์ชั้น 1 เป็นประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองอย่างครอบคลุมและครบถ้วนที่สุดเมื่อเทียบกับประกันภัยประเภทอื่นๆ โดยจะครอบคลุมถึงความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วม รวมถึงภัยธรรมชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพายุ ลูกเห็บ ไฟไหม้ หรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการชน ไม่ว่าคุณจะมีคู่กรณีหรือไม่ก็ตาม

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+

ประกันรถยนต์ชั้น 2+ มีความคุ้มครองที่ใกล้เคียงกับประกันภัยชั้น 1 แต่มีขอบเขตที่จำกัดมากขึ้น ประกันภัยประเภทนี้ยังคงให้ความคุ้มครองกรณีน้ำท่วมและภัยธรรมชาติต่างๆ แต่ไม่ครอบคลุมทุกกรณีเท่าประกันภัยชั้น 1 โดยเฉพาะกรณีที่ไม่มีคู่กรณีหรือไม่ได้แจ้งความเสียหายต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+

ประกันรถยนต์ชั้น 3+ มีความคุ้มครองที่น้อยกว่าประกันภัยชั้น 2+ และชั้น 1 แต่ยังคงครอบคลุมบางกรณีของภัยธรรมชาติรวมถึงน้ำท่วม ประกันภัยประเภทนี้มุ่งเน้นไปที่ความคุ้มครองอุบัติเหตุที่มีคู่กรณีและความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติที่สำคัญ

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3

ประกันรถยนต์ชั้น 3 เป็นประกันภัยที่มีความคุ้มครองน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่นๆ ประกันภัยประเภทนี้จะไม่ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมหรือภัยธรรมชาติอื่นๆ โดยจะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุที่มีคู่กรณีและความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น

ประกันรถยนต์ชั้น 1 เริ่มต้นเพียง 750

ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับรถเมื่อรถโดนน้ำท่วม

1. ระบบเครื่องยนต์ (Engine System)

● น้ำเข้าเครื่องยนต์ (Hydrostatic Lock)

เป็นปัญหาคลาสสิกที่เจ้าของรถทุกคนจะต้องเคยเจอ เมื่อน้ำเข้าไปภายในเครื่องยนต์ และเข้าไปแทนน้ำมันเชื้อเพลิง จะทำให้เกิดการล็อกของลูกสูบเนื่องจากน้ำไม่สามารถบีบอัดได้เหมือนอากาศ

● การสึกหรอของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์

น้ำสามารถทำให้ชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์เกิดสนิมและการกัดกร่อน ซึ่งอาจนำไปสู่การสึกหรอที่รวดเร็วและความเสียหายต่อส่วนประกอบต่างๆ

การรับมือ

  • ห้ามสตาร์ทรถยนต์เมื่อเครื่องยนต์เปียกน้ำ
  • ถอดหัวเทียนออกแล้วหมุนเครื่องยนต์ด้วยมือเพื่อไล่น้ำออกจากกระบอกสูบ
  • ตรวจสอบและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและของเหลวอื่นๆ ทันทีหลังจากที่รถโดนน้ำท่วม

2. ระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Electrical and Electronics System)

● การลัดวงจร (Short Circuit)

น้ำที่เข้ามาสัมผัสกับระบบไฟฟ้าสามารถทำให้เกิดการลัดวงจรได้ ทำให้ระบบไฟฟ้าหลายๆ ส่วนไม่ทำงาน

● การเสียหายของเซนเซอร์และระบบควบคุม

เซนเซอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เปียกน้ำอาจทำงานผิดพลาดหรือไม่ทำงานเลย

การรับมือ

  • ถอดขั้วแบตเตอรี่ออกเพื่อป้องกันการลัดวงจร
  • ทำความสะอาดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดให้แห้งสนิท โดยใช้ผ้าสะอาดเช็ดเบาๆ หลังจากนั้นตากแดดให้แห้ง
  • ตรวจสอบและเปลี่ยนฟิวส์ที่เสียหาย

3. ระบบส่งกำลัง (Transmission System)

● น้ำเข้าเกียร์ (Water in Transmission)

น้ำสามารถเข้าไปในระบบเกียร์อัตโนมัติหรือเกียร์ธรรมดา ทำให้เกิดการกัดกร่อนและลดประสิทธิภาพของระบบเกียร์

● การสึกหรอของชิ้นส่วนเกียร์

น้ำสามารถทำให้ชิ้นส่วนภายในเกียร์เกิดสนิมและการสึกหรอเร็วขึ้น

การรับมือ

  • ตรวจสอบและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ทันทีหลังจากที่รถโดนน้ำท่วม
  • ทำความสะอาดและตรวจสอบชิ้นส่วนภายในเกียร์เพื่อหาความเสียหาย

4. ระบบเบรก (Brake System)

● การลดประสิทธิภาพของเบรก

น้ำสามารถทำให้เบรกสูญเสียประสิทธิภาพในการหยุดรถ เนื่องจากน้ำทำให้ผ้าเบรกและดิสก์เบรกมีความลื่น

● การสึกหรอของชิ้นส่วนเบรก

น้ำและความชื้นสามารถทำให้ชิ้นส่วนเบรกเกิดสนิมและสึกหรอเร็วขึ้น

การรับมือ

  • ตรวจสอบและเปลี่ยนผ้าเบรกและดิสก์เบรกหากพบว่ามีความเสียหายหรือการสึกหรอ
  • ตรวจสอบระบบเบรกทั้งหมดรวมถึงสายเบรกและหม้อลมเบรกเพื่อความปลอดภัย

5. ระบบพวงมาลัยและช่วงล่าง (Steering and Suspension System)

● การลดประสิทธิภาพของระบบพวงมาลัย

น้ำสามารถทำให้ระบบพวงมาลัยมีปัญหาในการทำงาน เช่น การหมุนพวงมาลัยที่หนักขึ้นหรือไม่ตอบสนอง

● การสึกหรอของชิ้นส่วนช่วงล่าง

น้ำสามารถทำให้ชิ้นส่วนช่วงล่าง เช่น ลูกปืน สปริง และโช้คอัพ เกิดสนิมและการสึกหรอเร็วขึ้น

การรับมือ

  • ตรวจสอบระบบพวงมาลัยและช่วงล่างทั้งหมดเพื่อหาความเสียหาย
  • เปลี่ยนชิ้นส่วนที่มีการสึกหรอหรือเกิดสนิม

6. ระบบระบายอากาศและระบบทำความร้อน (HVAC System)

● การเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย

น้ำที่เข้าไปในระบบระบายอากาศสามารถทำให้เกิดเชื้อราและแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

● การเสียหายของระบบทำความร้อน

น้ำสามารถทำให้ระบบทำความร้อนทำงานผิดพลาดหรือไม่ทำงานเลย

การรับมือ

  • ทำความสะอาดระบบระบายอากาศและเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศ
  • ตรวจสอบระบบทำความร้อนและซ่อมแซมหากพบความเสียหาย

น้ำท่วมรถ เคลมประกันได้ไหม

ขั้นตอนที่ควรทำเมื่อรถยนต์ที่จอดอยู่โดนน้ำท่วม

1. ตรวจสอบความปลอดภัยส่วนบุคคลก่อน

ก่อนที่จะดำเนินการใดๆ ควรตรวจสอบความปลอดภัยส่วนบุคคลของคุณและผู้โดยสาร หากน้ำยังคงเพิ่มระดับหรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดกระแสน้ำแรง ควรรอจนกว่าจะปลอดภัยก่อนที่จะเข้าใกล้รถ หากจำเป็น ควรแจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กู้ภัย หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อขอความช่วยเหลือ

2. ไม่สตาร์ทรถ

หากรถยนต์ของคุณจมอยู่ในน้ำ ควรหลีกเลี่ยงการสตาร์ทรถโดยเด็ดขาด เนื่องจากการสตาร์ทรถในขณะที่เครื่องยนต์เปียกน้ำอาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้า ซึ่งอาจทำให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเพิ่มสูงขึ้นได้ การสตาร์ทรถที่เครื่องยนต์เปียกน้ำสามารถทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร และทำให้ส่วนประกอบต่างๆ ของเครื่องยนต์ได้รับความเสียหาย

3. ถ่ายภาพความเสียหาย

ถ่ายภาพความเสียหายของรถยนต์ทั้งภายนอกและภายใน เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการเคลมประกันรถ ควรถ่ายภาพในมุมต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงระดับน้ำและความเสียหายที่เกิดขึ้น ภาพที่ควรถ่ายรวมถึง

  • ภาพรวมของรถยนต์
  • ภายในห้องโดยสารที่แสดงระดับน้ำที่เข้ามา
  • เครื่องยนต์และชิ้นส่วนสำคัญที่ได้รับความเสียหาย
  • ภาพระดับน้ำโดยรอบบริเวณที่จอดรถ

4. ติดต่อบริษัทประกันภัย

แจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริษัทประกันรถของคุณทันที เพื่อขอคำแนะนำและเริ่มกระบวนการเคลมประกัน การติดต่อประกันภัยทันทีจะช่วยให้คุณได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและประสานงานการซ่อมแซมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลที่ควรเตรียมในการติดต่อประกันภัยรวมถึง

  • หมายเลขกรมธรรม์
  • รายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
  • ภาพถ่ายความเสียหาย

5. นำรถไปตรวจสอบที่ศูนย์บริการ

นำรถยนต์ของคุณไปที่ศูนย์บริการที่ได้รับการรับรองจากบริษัทประกันภัย หรือศูนย์บริการที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดการกับรถที่โดนน้ำท่วม ศูนย์บริการจะทำการตรวจสอบและประเมินความเสียหายทั้งหมด ขั้นตอนนี้รวมถึง

  • การตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในรถ
  • การตรวจสอบเครื่องยนต์และระบบกลไกอื่นๆ
  • การประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวถังรถและภายในห้องโดยสาร

6. ทำความสะอาดและซ่อมแซมรถ

หลังจากที่ศูนย์บริการได้ตรวจสอบและประเมินความเสียหายแล้ว จะทำการซ่อมแซมและทำความสะอาดรถยนต์ของคุณ โดยขั้นตอนนี้อาจรวมถึง

  • การเปลี่ยนถ่ายของเหลวทั้งหมดในรถ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ และน้ำหล่อเย็น เพื่อป้องกันการกัดกร่อนและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากน้ำที่เข้ามาปนเปื้อน
  • การตรวจสอบและซ่อมแซมระบบไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าในรถยนต์มักจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดความเสียหายเมื่อสัมผัสน้ำ ดังนั้นการตรวจสอบและซ่อมแซมระบบไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ
  • การทำความสะอาดภายในห้องโดยสาร หากน้ำเข้ามาภายในห้องโดยสาร อาจจำเป็นต้องถอดพรมและเบาะนั่งออกเพื่อตากแห้งและทำความสะอาดเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราและกลิ่นเหม็น
  • การตรวจสอบและเปลี่ยนชิ้นส่วนที่เสียหาย เช่น ฟิวส์ เซนเซอร์ และชิ้นส่วนที่สำคัญอื่นๆ ที่อาจได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม

การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของคุณในกรณีที่น้ำท่วม และทำให้กระบวนการซ่อมแซมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว อย่าลืมติดต่อบริษัทประกันภัยทันทีที่เกิดเหตุการณ์เพื่อให้คุณได้รับความช่วยเหลือและการคุ้มครองที่เหมาะสม


เขียนโดย : SILKSPAN ADVISOR
เผยแพร่วันที่ : 15/07/2024
โปรโมชั่นแนะนำ
“เช็กเบี้ยประกันรถ
เซฟกว่าเดิม 30%”

กำลังโหลด